ความหมายของความเสี่ยงทางธุรกิจ


 ความหมายของความเสี่ยงทางธุรกิจ
การบริหารความเสี่ยงที่ควรจะถือว่าเป็นการบริหารจัดการหลักของกิจการทุกกิจการ คือ การบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจ (Business Risk) เพราะผลกระทบของความเสี่ยงทางธุรกิจคือ ผลประกอบการโดยรวมหรือความสามารถในการทำกำไรของกิจการ ซึ่งเราอาจจะเรียกความเสี่ยงประเภทนี้อีกอย่างหนึ่งว่า “Company Risk”วิธีการบริหารจัดการกับความเสี่ยงทางธุรกิจ ก็คือ การมองดูที่สถานการณ์และสภาพแวดล้อมภายในกิจการควบคู่กับสภาพแวดล้อมภายนอก เพื่อค้นหาปัจจัยความเสี่ยง และจัดการกับปัจจัยความเสี่ยงเหล่านี้อย่างเหมาะสมและเพียงพอปัจจัยความเสี่ยงภายนอกที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ความเสี่ยงทางด้านธุรกิจ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของความต้องการสินค้าและบริการที่อาจจะมีแนวโน้มลดลงจากเดิม  ไม่ว่าจะเป็นไปตามวัฎจักรทางธุรกิจหรือวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์หรือไม่ก็ตาม  ต่างก็ส่งผลต่อการสูญเสียทางธุรกิจให้แก่คู่แข่งขันทั้งสิ้นหากเป็นกรณีของปัจจัยความเสี่ยงทางธุรกิจที่มาจากภายนอกกิจการแล้ว ก็เป็นการยากที่กิจการจะบริหารจัดการปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าวได้ ด้วยวิธีการควบคุม เหมือนกับการควบคุมภายในในส่วนของปัจจัยความเสี่ยงที่มาจากสภาพแวดล้อมภายในกิจการอย่างเช่น
ก)  ความไร้ประสิทธิภาพของกิจกรรมทางการตลาด หรือ
ข)  คุณภาพและศักยภาพของทีมขายจนทำให้ผลประกอบการออกมามาเป็นไปตามความคาดหมายหรือเป้าหมายที่กำหนดไว้
กรณีของปัจจัยความเสี่ยงทางธุรกิจที่มาจากภายในกิจการเช่นนี้ ผู้บริหารกิจการสามารถบริหารจัดการได้ด้วยการปรับแผนงานส่งเสริมทางการตลาดหรือปรับปรุงทีมงานขาย  หรือเพิ่มการอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพของทีมขายได้หรือในกรณีที่งานการผลิตสินค้าและบริการเป็นปัจจัยความเสี่ยงทางธุรกิจเป็นความเสี่ยงสำคัญ ผู้บริหารก็สามารถที่จะปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อที่จะลดความเสี่ยงทางธุรกิจลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบันและในอนาคต  ความเสี่ยงทางธุรกิจก็จะยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญที่กิจการทุกกิจการยังคงต้องบริหารจัดการเป็นงานประจำวันอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอเนื่องจาก   
1. สภาพแวดล้อมภายในและตัวธุรกิจเองมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่คงที่ ไม่แน่นอน
2. สภาพแวดล้อมภายนอกกิจการเอ ตลอดจนสถานการณ์ต่าง ๆ ก็มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และสามารถสร้างภัยคุกคามและอุปสรรคต่อการดำเนินงานของกิจการได้เสมอในต่างประเทศเคยมีการสำรวจความคิดเห็นของกิจการต่าง ๆ เกี่ยวกับความเสี่ยงทางธุรกิจ และผลการสำรวจในปี 2010 ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจหลายประการ การสำรวจได้ให้ความสำคัญกับการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับ 10 ปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจที่กิจการต่าง ๆ ต้องเผชิญหน้าอยู่ โดยแยกประเภทธุรกิจออกเป็น 14 ประเภท

บทสรุปที่ควรกล่าวถึงในผลการสำรวจดังกล่าว ได้แก่

ประการที่ 1
     ปัจจัยความเสี่ยงทางธุรกิจที่มีความสำคัญ คือ
1. การปรับตัวและการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ ระเบียบที่เกิดใหม่ และมีอยู่แล้วก่อนหน้านั้น รวมทั้งเงื่อนไขที่เป็นข้อกำหนดที่ระบุในกรมธรรม์ประกันภัย รวมทั้งการประกันภัยพิบัติ
2. นโยบายและประเด็นปัญหาทางการเมือง และการตัดสินใจทางการเมืองที่กระทบต่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและผลประกอบการทางธุรกิจ
ทั้งนี้ ปัจจัยความเสี่ยงทางธุรกิจ 10 ประการที่ใช้ในการสำรวจ ได้แก่
การกำกับให้การปฏิบัติงานในกิจการเป็นไปตามกลยุทธ์ของกิจการ
การบริหารงานพันธมิตรทางธุรกิจ
การบริหารลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร ภูมิปัญญาของกิจการ
ความล่าช้าในการกอบกู้ธุรกิจ หากเกิดการหยุดชะงัก
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
ความยากลำบากในการขอสินเชื่อแหล่งเงินและสถาบันการเงิน
การปรับลดต้นทุนการดำเนินงาน
การบริหารความเสี่ยงที่สังคมโดยรวมยอมรับได้และบทบาทและโปรแกรมความรับผิดชอบต่อสังคม
แนวโน้มความต้องการให้ใช้แนวคิด กรีน” ในการดำเนินธุรกิจ
การเปลี่ยนแปลงและเพิ่มขึ้นของกฎเกณฑ์ ระเบียบ รวมทั้งกฎเกณฑ์ที่มีอยู่แล้ว

ประการที่ 2
          ปัจจัยความเสี่ยงที่เพิ่มความสำคัญและถือว่าเป็นความเสี่ยงเกิดใหม่ของปี 2010 คือ บทบาทและโปรแกรมความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะกิจการเชื่อว่าเป็นปัจจัยความเสี่ยงที่จะกระทบต่อชื่อเสียงความไว้วางใจของลูกค้าและสังคมที่มีต่อกิจการ  และอาจจะกระทบไปถึงภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมโดยรวมด้วย
ประการที่ 3
           ในทุกประเภทของธุรกิจหรืออุตสาหกรรม จะเลือกปัจจัยความเสี่ยงทางด้านธุรกิจประมาณ 4 ปัจจัยเสี่ยงจาก 10 ปัจจัยเสี่ยงว่ามีความสำคัญ และมีความจำเป็นต้องบริหารจัดการอย่างเพียงพอ
ประการที่ 4
           กิจการที่ตอบแบบสอบถามระบุว่ามีการติดตาม วิเคราะห์และสแกนสถานการณ์ของสภาพแวดล้อมภายนอกกิจการอยู่เสมอ  เพื่อค้นหาและระบุความเสี่ยงเกิดใหม่ในด้านธุรกิจ และเห็นว่าการมีความเสี่ยงเกิดใหม่เป็นตัวเพิ่มความไม่แน่นอนในการทำธุรกิจของกิจการมากที่สุด  จนกระทบต่อมูลค่าของกิจการทั้งระยะสั้นและระยะยาว
ในระยะหลัง ๆ กิจการได้ขยายขอบเขตของการติดตาม วิเคราะห์ และค้นหาสถานการณ์ด้านสภาพแวดล้อมเพื่อหาปัจจัยความเสี่ยงทางธุรกิจออกไปสู่ห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น โดยครอบคลุม
1)    ซับพลายเออร์
2)    ลูกค้า
3)    พันธมิตรทางธุรกิจ
4)    ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก
ประการที่ 5
           นอกเหนือจากการติดตาม วิเคราะห์ และสแกนในสภาพแวดล้อมภายนอกแล้ว  การค้นหาและระบุปัจจัยความเสี่ยงด้านธุรกิจที่สำคัญในระยะหลัง ๆ คือ การวิเคราะห์ด้วยฉากทัศน์ (Scenario Analysis) เพื่อพยายามค้นหาและสร้างภาพของปัจจัยความเสี่ยงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต  อันเป็นการลดความเสี่ยงจากการผูกติดอยู่กับอดีต  และทำให้กิจการสามารถตอบโต้กับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน (Uncertainty Risk) ได้อย่างทันท่วงที  ซึ่งทำให้กิจการส่วนใหญ่ทำแผนเตรียมความพร้อมและเตรียมรับมือต่อความเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์มากขึ้น
ประการที่ 6
          กิจการส่วนใหญ่เห็นว่าการปรับตัวต่อมาตรฐานหรือกฎเกณฑ์ใหม่เพียงพอนั้น ไม่อาจจะทำได้ในระยะสั้น ๆ จำเป็นต้องทำเป็น Roadmap เพื่อวางกิจกรรมระยะยาวและใช้การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการกำกับและปฏิบัติงานของบุคลากรภายในองค์กร



ที่มา : https://chirapon.wordpress.com


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น